กลางดึกสงัดคืนหนึ่งในย่านที่เต็มไปด้วยสถานบันเทิงเฉกเช่นทองหล่อช่วงเวลา 1 นาฬิกา 12 นาที (AM) เป็นฤกษ์ที่ดีสำหรับวงดนตรีทดลองที่คาดเดาทิศทางได้ค่อนข้างยากวงหนึ่งอย่าง Silence ((O)))) ที่คืนนี้เจ้า Arkat Vinyapiroath ตั้งใจมาเล่น Ambient กล่อมผู้ชมในงานเข้าสู่นิทราตามชื่อ E.P. เห็นศิลปินกำลังหมกมุ่นอยู่กับการเซ็ทอัพไมโครโฟนและแผ่นปูนซีเมนต์อยู่นาน เลยทำให้เกิดความสงสัยว่าจะใช้มันในคืนนี้ยังไง แถมยังเหลือบไปเห็นเจ้าแผงวงจรเปลือยชิ้นเล็กๆแบบ D.I.Y. ยิ่งสร้างความงงงวยกันไปใหญ่ว่าคืนนี้มันจะมาไม้ไหน สาดนอยซ์จนกูไม่ได้นอนเหมือนรอบที่แล้วหรือเปล่า? It was a late night at Thonglor, a place full of entertainment venues. At 1:12 am, an unpredictable experimental act, Silence ((O)))), aka. Arkat Vinyapiroath, intended to play an Ambient lullaby to the audience as his EP. Suggested. Seeing the artist getting obsessed with setting up a microphone and a concrete block made the audience curious about how he used them. Seeing a DIY circuit would confuse them on how he would play. Would he unleash the sleepless harsh noise like before? ท่าทางมันดูซีเรียสกับเวลาเริ่มที่ต้องเป๊ะมาก จนมองนาฬิกาที่มือถือซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอเห็นสมควรแก่เวลาจึงเริ่มขึ้นเสียง Field Recordings ของจักจั่นเริงระบำยามราตรีที่ไหนสักแห่ง (ในเดือนเมษาหรือเปล่า อันนี้มิอาจทราบได้เช่นกัน) กับเสียงในห้วงอวกาศหลอนๆ หอนๆ ตามแบบฉบับ "นิทราแห่งจักรวาล" He got serious with the timing accuracy by looking at the watch repeatedly until the time came. He started the field recording sounds of cicadas from somewhere in April (if he remembered) and the haunting ambience from his original “Lullaby of the Universe” (นิทราแห่งจักรวาล) สรรพสำเนียงทั้งหมดถูกขับเคลื่อนด้วย Feedback เป็นหลัก ทั้งจากไมโครโฟนที่สะท้อนจากแผ่นปูนซีเมนต์ก็ดี หรือกระทั่งการใช้แรงหอนสุดสยิวจาก Pick Up ของกีต้าร์นั่นก็ด้วย แถมยังประดับกำแพงเสียง white noise อันซาบซ่าเข้าโจมตีผู้ฟังอย่างนุ่มนวลเป็นระยะจนทำให้รู้สึกเหมือนเป็น layer เสียงของชั้นบรรยากาศนอกโลก (หรือกูคิดมากไปเอง) All the sounds are mainly driven by feedbacks from the mic’d up concrete block and the howling guitar added with the blissful white noise which went through the audience from time to time. So they could feel the atmospheric layers from outer space (or I'm might overthink of it). อนึ่ง white noise เป็นเสียงที่ช่วยให้มนุษย์รู้สึกผ่อนคลายตามงานวิจัยด้านเสียงที่ทดลองกันมานักต่อนัก และมันได้ผล! เวลาเปลี่ยนหมุนล่วงเลยไปได้สักพักผู้ชมเริ่มนอนหลับกันแล้ว ศิลปินบรรจงใช้ white noise กับ Feedback เป็นหลักแล้วในตอนนี้ หลังจากที่แน่ใจว่าผู้คนส่วนใหญ่หลับกันสบายดีแล้ว เขาจึงตั้งใจเซ็ทเสียงหอนให้เล่นตัวเอง! แบบ Infinity Loop According to sonic experimental researches, the white noise can help people relieve themselves as it worked (on the session). When time passed by and people started to fall asleep, Arkat used the white noise and feedbacks as his main vessels. After they slept tight, he would later set up the infinite feedback loop. จนถึงเวลา 4 นาฬิกา 44 นาที (โคตรเป๊ะ) เขาก็จัดแจง Fade เสียง Feed Back ให้แยกขาดจากกันอย่างช้าๆและปล่อยให้เครื่องมือทั้งหลายได้เข้านอนพักผ่อนพร้อมเขาด้วย เป็นอันเสร็จสิ้นการบรรเลงงาน Ambient จำนวน 3 ชั่วโมง 32 นาทีชิ้นนี้อย่างนุ่มนวลที่สุด When the time had reached exactly 4:44 am., He faded his feedbacks slowly and let all his instruments rest peacefully with him. Thus, this was the smooth ending of his three and a half hours of Ambience. สำหรับผลงาน E.P. "นิทราแห่งจักรวาล" สามารถสั่งซื้อได้ที่: https://goo.gl/x5NBLY “Lullaby of the Universe” EP. is now available for purchase at https://goo.gl/x5NBLY ภาพโดย กุลชาติ กลิ่นจำปา, Adisak Poung-Ok
0 Comments
Gamnad737 – The Worshiper Genre – Ambient/Experimental/Harsh Noise/Power Electronics Label – Moontone Records หลังจากที่เจ้าหนุ่ม(ตัว)ใหญ่หัวแอโฟรนาม อาฆาต วิญญาณ์พิโรธ ห่างจากการแต่งเพลงไปพักใหญ่ ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นพ่อหนุ่มคิวทองน่าจะเหมาะกว่า บัดนี้เจ้าตัวก็ได้กลับมาทำงานกำหนัดคนเดียวอย่างเต็มตัวอีกครั้ง เพราะสมาชิกอีกสองหน่อได้แยกวงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับอัลบัมใหม่นี้เขาเพิ่งจะทำเสร็จก่อนที่จะจัดงาน Experimental War ครั้งที่ 3 ที่ได้ Schizophrenic Wonderland (หรือเดนนิส ชอย) จากสิงคโปร์มาเป็นเฮดไลเนอร์นั่นเอง ซึ่งผมเองก็ยังเสียดายไม่หายที่กลับบ้านไปก่อน โดยในครั้งนั้นเดนนิสเล่าให้ฟังว่าเจ้าอาฆาตจัดหนักจัดเต็มจนบ้านข้างๆร้านลงมาบ่นเลยทีเดียวเพราะเสียงมันดังจนสะเทือนไปถึงบ้านเขานั่นเอง โอเค ตอนนี้ผมเองก็อารัมภบทมาได้พักใหญ่แล้ว ขอเข้าสู่รายละเอียดของชุดนี้บ้างดีกว่า ปกอัลบัมนี้เหมือนจะเป็นการบูชาจระเข้ แต่อันที่จริงแล้วมันตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง หากท่านนำตัวอักษรตัวแรกของทั้งหกเพลงมาเรียงกันแล้วละก็จะกลายเป็นคำว่า “เย็ดเข้” (YEDKAE) ใช่ ท่านอ่านไม่ผิดหรอกครับ แม้ชื่ออัลบัมจะ Worship แต่ที่จริงแล้วมันไม่ Worship เหมือนชื่อเท่าใดนัก มันค่อนข้างจะ Fucking Unholy อยู่หน่อยๆ ไม่สิ เรียกว่ามากโขเลยก็แล้วกัน ในแง่ดนตรี (หรือถ้าจะให้เหมาะสมกว่านั้นก็น่าจะเรียกว่า "สรรพเสียง" ) นั้นสิ่งที่หลายๆท่านได้ยินและได้ชมกันในตัวอาฆาตนั้นจะเป็นมวลมหาพายุฮาร์ชนอยส์เสียเป็นหลัก แต่ในงานนี้เขาไม่ได้ใส่เพียงพายุสรรพเสียงเท่านั้น ท่านจะได้ยืนเสียงของดิดเจอริดู (เป็นเครื่องเป่าลมไม้ที่มีลักษณะเป็นแท่งยาวที่ชาวอะบอริจินเอาไว้เป่าเลียนเสียงสัตว์) เรนสติ๊ก (ท่อนไม้ปลายปิดที่บรรจุทรายไว้ด้านในหากเทลงแล้วจะทำให้เกิดเสียงคล้ายฝนตก) และ ซิงกิงโบว์ล (ชามโลหะของทางธิเบตที่ใช้ไม้ถูไปรอบๆจนทำให้เกิดเสียงกังวานหลากหลายแบบตามแต่ขนาด) และถ้าจำไม่ผิด เครื่องดนตรีทั้งสามชนิดนี้เจ้าตัวอัดไว้นานแล้วที่บ้านของผม (ผู้เขียน) เองโดยที่ผมเองก็ช่วยอัดเสียงเหล่านี้ด้วยส่วนหนึ่ง งานนี้อาฆาตเอามาใช้เสียจนคุ้มเลยละ ข้อดีของชุดนี้คือแต่ละเพลงนั้นจะมีความต่อเนื่องกันหมดตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย จะเสียก็แค่อย่างเดียวคือ ทาง Bandcamp เองก็เล่นเพลงได้ไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าใดนัก แต่ไม่น่าจะเป็นผลสำหรับผมเท่าไหร่ งานชุดนี้จะแบ่งเป็นริชวลแอมเบียนท์สามเพลงคือ Yahn, Dengi Consortium และ Komootra ซึ่งเจ้าเพลงหลังนี่ทำให้ผมนึกถึงหนึ้งในโปรเจ็กต์เดี่ยวของ Goredick (มือกลอง Smallpox Aroma และอีกหลายวง) ที่มาในลักษณะคล้ายกัน ซึ่งทั้งสองก็เคยร่วมงานแสดงสดกันมาแล้ว โดยผมหวังว่าทั้งคู่นั่นจะได้แสดงคู่กันอีกครั้งส่วนอีกสองเพลงคือ Ekternal n’ Chalawan และ Another Crocodile จะเป็นฮาร์ชนอยส์ผสมเพาเวอร์อิเลกโทรนิกส์อันดุเดือดตามสไตล์ของอาฆาต แต่ทั้งหมดทั้งมวลในอัลบัมนั้นก็จะมีการจำลองเสียงของจระเข้เอาไว้ด้วยประมาณหนึ่ง งานชุดนี้แลดูจะมีรายละเอียดมากขึ้นซึ่งก็สมแล้วที่ใช้เวลาทำอยู่นานพอสมควร แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือการนำคำพูดหยาบๆบ้านๆอย่าง “เย็ดเข้” มาสร้างเป็นคอนเซ็ปต์อัลบัมสไตล์ริชวลแบบจริงจังขึ้นมานี่ละ และนี่ก็เป็นการตอกย้ำว่านอยสนิกชนนั้นไม่ได้มีดีเพียงแค่สร้างเสียงแตกพร่าขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังสามารถนำสิ่งรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ดี รวมถึงการควบคุมเสียงอีกเช่นกัน... Interview: เฮียหมี ฉัตรชัย วัฒนชัยสิทธิ์ หัวเรือใหญ่ของค่าย Six F Production | Moontone records9/4/2017 สวัสดีครับ ตอนนี้เราอยู่กับคุณฉัตรชัย วัฒนชัยสิทธิ์ (เฮียหมี) หัวเรือใหญ่แห่งกลุ่ม Six F Grinder Group และวงดนตรีของเขาอีกมากมายที่ผมอาจเขียนได้ไม่ครบในบทความนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มต้นเข้าสู่คำถามแรกเลยแล้วกัน แนะนำตัวหน่อยสิครับ? - สวัสดีครับ ชื่อหมีครับ ฉัตรชัย วัฒนชัยสิทธิ์ เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่ม SIX F GRINDER GROUP และเป็นบรรณาธิการ Grind Freak Zine กับ NEWSLETTER แจกฟรีชื่อ GRINDNEWS เป็นมือกลองวง ASSTRAFFIC , BLOOD SOAKED STREET OF SOCIAL DECAY , FUCK ME FUCK MY NOIZE , SEExSAW , PxNxJx , ROTTEN HEAD COCK , THISCHARGE , FORGETTING DROY , ROBOCORPSE (rip) , GORY VOMIT แล้วก็ร้องนำวง GODFESTER , GONOTOXEMIA เคยทำวงกอร์นอยซ์ MIMY ตอนนี้ทำสังกัดใหม่เล็กๆ TILL YOU DEAD RECORDS อะไรคือสาระสำคัญที่ทำให้เริ่มก่อตั้งกลุ่ม 6F ขึ้นมา ? - แค่อยากรวมคนที่มองตาก็เข้าใจกันรวมอยู่กันเป็นก้อนเพื่อทำอะไรมันๆด้วยกัน แค่นั้น ทำวงดนตรี นั่งดื่ม นั่งคุย นั่งเล่น ไปเที่ยว ทำอะไรก็ได้ มากกว่ากลุ่มวงดนตรี ที่เล่นดนตรีหรือจัดงาน แต่เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ช่วยกันคิด ช่วยกันลงมือ ช่วยกันแก้ปัญหา ในทุกๆเรื่องของชีวิต อัลบั้มแรกที่ทำให้รู้จัก Grindcore/ Hardcore Punk ? - จำไม่ได้จริงๆว่าไปเริ่มจริงจังตอนไหน แรกๆเราก็ฟังธรรมดาตามยุคสมัยอะนะ LINKIN PARK , LIMP BIZKIT , KORN , SLIPKNOT มีร้านที่ผมซื้อพวกเทปผีแผ่นก๊อปประจำอยู่ที่ปากเกร็ด ก็ได้พบปะแลกเปลี่ยนลองฟังไปเรื่อยๆ แรกๆก็ลองไปเรื่อยทั้ง พังค์ เดธ แบล๊ก บรูทัล ฮาร์ดคอร์ หรือเมทัลหลายแขนงต่างๆ นานา แต่มันไปสะดุดใจที่ วงจำพวก MINOR THREAT , BAD BRAINS , CIRCLE JERKS ชอบจังหวะกลองกับเนื้อหา แต่ในขณะที่เพื่อนๆบางคนฟัง SICK OF IT ALL , MADBALL , AGNOSTIC FRONT , EARTH CRISIS ซึ่งมันก็ดูหนักแน่นกระชับมันดี จนวันนึงเข้าวังวนสายบรูทัลเดธ ได้พบเจอและชอบกับบลาสต์บีต แล้วก็ไปเจอสิ่งที่เรียกว่า "GRINDCORE" มันเป็นเหมือนอะไรที่เราค้นหามาตลอดเนี่ยแหละ เนื้อหา กลองแบบพังค์บวกบลาสต์บีต ริฟฟ์หนักๆสลับสามคอร์ด ฮ่าๆๆ โดนใจไปหมด รวมทุกอย่างที่ชอบไว้ในแนวเดียว แต่ด้วยความที่ในคำว่า Grindcore มันกว้างมากๆ แตกแขนงออกไปอีกสารพัด ก็เลยสนุก เสพติดอย่างบอกไม่ถูก จำไม่ได้ว่า Grindcore อัลบั้มแรกๆที่ฟังมาจากชุดไหน แต่ที่แน่ๆคือไม่ใช่วงใหญ่ งานขึ้นหิ้ง แต่เป็นเทปซื้อมาจากสังกัดไทยในยุคนั้น แต่จำไม่ได้จริงๆ
Date: Fri 21st July 2017 Genre: Hardcore Punk/ Grindcore Ticket: 350 THB Venue: SOY SAUCE BAR ซอยเจริญกรุง 24 SIX F GRINDER GROUP ภูมิใจนำเสนอ...
งานปาร์ตี้ ที่นำเสนอความเร็ว ปั่นป่วน สับสน อลหม่าน ในค่ำคืนวันศุกร์ ที่ไม่ต้องรอให้สุก ล่อกันแบบดิบๆ ก่อนที่โคตรอภิมหาแบล็ก/เดธ เมทัล ANGEL CORPSE จะเดินทางมาถล่มเมืองไทยในวันถัดไป ใครที่มาไกลจะมาลองของ ทดสอบกำลังอุ่นเครื่องวอร์มร่างกายก่อนวันเสาร์ก็เรียนเชิญ !!!! ด้วยการต้อนรับการเยือนผืนแผ่นดิน South East Asia ที่แรกที่ไทยกับวง GRID ไกรน์ดคอร์จากสวีเดน พร้อมกับการกลับมาย้ำแค้นของวง COMPULSION TO KILL วงนี้มันส์แค่ไหน ในคืนเมื่อครั้งงาน MAGRUDERGRIND ใครอยู่จนจบคงรู้กันดี ใครที่พลาดไปอยากชมให้เห็นกับตาว่ามันส์จนหัวร้างข้างแตกเป็นยังไง มาแก้ตัวกันได้ :: Line Up :: - GRID - COMPULSION TO KILL - SMALLPOX AROMA - CYSTGURGLE - GOD FESTER - SATYR - RULED OUT - EXCLAMATION - BABYLON BK IS DEAD ****คำเตือน อยากมันส์รีบมา เพราะถ้าช้าแค่ครึ่งชั่วโมงท่านอาจจะพลาดไป 3-4 วงก็เป็นได้ เพราะสายรีบไม่เคยปราณีใคร !!!!!!!!! วันนี้เราก็ยังอยู่ที่นิวยอร์คนะครับ กับศิลปินที่ทำผลงานได้โดดเด่นอีกหนึ่งท่าน เขาคือ Tristan Perich นักประพันธ์เพลงร่วมสมัยและศิลปินเสียงหนึ่งบิท ซึ่งเขาก็ออกผลงานมาหลายชุดทีเดียว ก่อนจะกล่าวถึงผลงานล่าสุดของทริสตัน ผมขออนุญาตกล่าวถึงดนตรีหนึ่งบิทเสียเล็กน้อยก่อน... เสียงหนึ่งบิทที่เป็นเสียงจากคอมพิวเตอร์ที่เรียบง่ายที่สุด และเจ้าเสียงนี้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่าแปดบิทเสียอีก โดยต้องย้อนกันไปถึงยุค 1960 เลยทีเดียวกับการทดลองกับคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า PDP-1 โดยต่อมาเจ้าหนึ่งบิทนี่ก็เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในยุค 80s จึงเริ่มมีศิลปินที่ทำดนตรีด้วยเสียงหนึ่งบิทออกมาพอสมควร แต่ถือว่ายังน้อยมากหากเทียบดนตรีในรูปแบบอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือทริสตันนั่นเองครับ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมนั้น ผมจะลงลิงค์ไว้ที่ท้ายโพสต์ อย่างไรก็ลองเข้าไปอ่านกันได้ครับ ผลงานสองชุดแรกของทริสตัน คือ 1-Bit Music (2007) และ 1-Bit Symphony (2010) ที่ออกกับ Cantaloupe Music ก็เป็นผลงานที่ออกมาในรูปแบบวงจรไฟฟ้าที่เขาได้เข้ารหัสเพื่อสร้างเสียงให้เป็นแพทเทิร์นขึ้นมาผ่านไมโครชิป โดยมีช่องเสียบหูฟัง สวิตช์เปิดปิด และมีปุ่มสำหรับเลื่อนแทร็คอีกด้วย สำหรับวงจรนี้ก็จะใช้ถ่านนาฬิกาที่เป็นรูปวงกลมเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนเสียง ซึ่งถ้ากำลังไฟอ่อนลงเสียงก็จะแผ่วและช้าลงด้วย โดยทั้งหมดนี้ก็จะถูกบรรจุไว้ในกล่องซีดีี่ พร้อมกับปกอัลบั้มที่พับไว้หลายตอนอยู่ใต้กล่อง ซึ่งพอกางออกมาก็จะเป็น 'สกอร์' ของแต่ละเพลง ซึ่งก็เป็นโปรแกรมรหัสที่เขาใช้สร้างเพลงนั่นเอง โดยใน 1-Bit Symphony ก็จะมีแทร็คสุดท้ายที่ยาวที่สุด เพราะเป็นแทร็คที่วนลูปไปเรื่อยๆจนกว่าจะปิดวงจร ซึ่งเขาก็กำหนดความยาวของเพลงเอาไว้ว่า ∞ หรือ Infinity นั่นเอง (รายละเอียดดังกล่าวผมอิงมาจาก 1-Bit Symphony ที่ผมมีไว้ในครอบครองนะครับ) นอกจากผลงานสองอัลบั้มที่กล่าวไว้ข้างต้น ทริสตันก็มีงานประพันธ์ร่วมสมับออกมามากมายพอสมควร ซึ่งเขาก็เริ่มประพันธ์เพลงมาตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งเขายังไม่ได้นำดนตรีหนึ่งบิทมาใช้ แต่หลังจากนั้นมาเขาก็นำเจ้าเสียงหนึ่งบิทนี้มาประยุกต์ใช้ในการประพันธ์และการติดตั้งเสียงด้วย โดยในปี 2013 นั้นเขาก็ได้ประพันธ์เพลง Parallels ขึ้นมา ซึ่งองค์ประกอบในเพลงนี้ก็ประกอบไปด้วยเสียงหนึ่งบิท 4 Channel ที่ถ่ายทอดผ่านสี่ดอกลำโพง พ่วงด้วย Tuned Triangle และฉาบไฮแฮท ที่ได้ Meehan/ Perkins Duo (ท็อดด์ มีห์น และ ดั๊ก เพอร์กินส์)เป็นผู้ถ่ายทอดจังหวะ Parallels นั้นก็เริ่มต้นทำนองอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงหนึ่งบิทสี่ประสานโดยมีการเคาะ Triangle คลอตามไปด้วยอย่างนุ่มนวล ซึ่งความเคลื่อนไหวของทั้งสองสิ่งนี้ก็ดำเนินไปอย่างมินิมอลมากๆเลยละ (จนบางทีผมก็รู้สึกว่ามีเสียงโดรนเข้ามาด้วย) แถมยังมีเสียง (Acoustic) Glitch เล็กๆที่สร้างขึ้นจาก Triangle ส่วนเสียงหนึ่งบิทนั้นก็เริ่มจะการเปลี่ยนแปลงทำนองไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงกลางเพลงที่มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้จะเสริมการเคาะไฮแฮทเข้ามาด้วย ซึ่งทำให้ตัวเพลงดูมีจังหวะจะโคนขึ้นมาอีกเล็กน้อย โดยคราวนี้เจ้าหนึ่งบิทสี่ประสานก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวมากขึ้น และทั้งสามชิ้นก็เริ่มเร่งจังหวะมากขึ้นในช่วงท้ายของเพลงไปจนจบ
งานนี้ก็ถือได้ว่าเป็นอิเลกโทรอะคูสติกที่ค่อนข้างครบเครื่องทีเดียว แม้จะมีเครื่องดนตรีน้อยชิ้นก็ตาม และยังเสริมด้วยจังหวะจะโคนที่ชวนโยกตาม พร้อมกับความเคลื่อนไหวของเสียงหนึ่งบิทที่เป็นไปอย่างมินิมอลอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ทำให้ตลอดราวๆ 50 นาทีของเพลงนั้นเป็นไปอย่างเพลิดเพลินถึงระดับที่สามารถฟังวนไปได้เรื่อยๆจนรู้สึกว่าเพลงนี้จะกลายเป็นลูปที่ไม่สิ้นสุดไปเสียแล้ว... มหานครนิวยอร์คถือเป็นดินแดนแห่งศิลปะหลากหลายแขนงเลยก็ว่าได้ ในยุค 1950s-60s นั้นมีกลุ่ม (อย่างไม่เป็นทางการ) ที่เรียกกันว่า 'นิวยอร์คสกูล' (New York School) ซึ่งเป็นศูนย์รวมศิลปินในแขนงต่างๆและเหล่ากวีในพำนักอยู่ในมหานครแห่งนี้ โดยในฟากของดนตรีนั้นก็จะเน้นดนตรีทดลองเสียเป็นหลัก ซึ่งก็นำโดยคุณปู่ John Cage, Morton Feldman, Earle Brown และ Christian Wolff ซึ่งต่อมาไม่นาน คุณป้า Yoko Ono ที่เป็นหนึ่งในกลุ่ม Fluxus ในขณะนั้น (รา่วๆ 6-7 ปีก่อนที่จะพบกับ John Lennon ที่จะกลายมาเป็นสามีในเวลาต่อมา) ก็ใช้ห้องพักของแกที่ Chambers Street เปิดการแสดงดนตรีทดลองที่ดูแลโดย La Monte Young และ Richard Maxfield ซึ่งจากการเปิดการแสดงของป้าโยโกะก็ทำให้เกิด "ธรรมเนียมใหม่" ในการแสดงดนตรีทดลองตามสถานที่หลากหลายรูปแบบ อาทิ พื้นที่อุตสาหกรรมที่ถูกดัดแปลง (หรือง่ายๆก็คือโรงงานร้างนั่นเอง) ตามหอพักต่างๆ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เกิด Scene เล็กๆ(ที่ไม่เล็ก) ของดนตรีทดลองขึ้นมา ที่เรียกกันว่า Downtown music สำหรับศิลปินในกลุ่มนี้ก็มีอยู่หลากหลายแนว แถมบางรายยังเป็นที่รู้จักในวงกว้างอีกด้วย อาทิ John Zorn, Sonic Youth, Philip Glass และ Swans เป็นต้น และในขณะเดียวกับที่ Downtown music เกิดขึ้นมานั้น ก็มีซีนที่เรียกกันว่า Uptown เกิดขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยมาในรูปแบบที่ตรงกันข้ามกับ Downtown โดยสิ้นเชิง สำหรับ Uptown จะเน้นการแสดงดนตรีคลาสสิก (ร่วมสมัย) เป็นหลัก ซึ่งจัดขึ้นที่ The Juilliard School (ถ้าแฟนๆของ Dream Theater จำกันได้ สถานที่นี้เป็นที่ๆ Jordan Rudess เคยเรียนอยู่นั่นเองละครับ) และ Columbia University in the City of New York
ในช่วง 1970s หลังจากที่ Downtown music เกิดขึ้นมาได้สักพักใหญ่ๆ ก็มีอีกหนึ่งกลุ่มเล็กๆอีกหนึ่งที่รวมศิลปะสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์คเช่นเดียวกัน ก็คือ No wave ที่ถือว่าเป็นภาค Underground ของ Downtown music เลยก็ว่าได้ โดยลักษณะของดนตรีในกลุ่มนี้ก็จะมาจากพังค์ร็อคที่ผสมผสานดนตรีทดลองและ/หรืออวองการ์ดเข้าด้วยกัน แต่โครงสร้างจริงๆนั้นก็ไม่ได้ตายตัวเสียทีเดียว โดยจะนำเสนอมุมมองต่อสังคมในแง่ลบในหลากหลายรูปแบบผ่านบทเพลง เมื่อไม่กี่วันมานี้เห็นมิตรสหายหลายท่านแชร์คลิปการแสดงสดดนตรีแจ๊สสุดระห่ำที่โดยนักดนตรีรุ่นเก๋าที่ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา โดยเฉพาะผู้อำนวยเพลง ซึ่งชายผู้นั้นก็คือหนึ่งในหัวหอกของ Downtown Music (เดี๋ยวจะลงรายละเอียดไว้ให้ที่ท้ายโพสต์นะครับ) และเป็นชาวนิวยอร์คโดยกำเนิด เขามีนามว่า จอห์น ซอร์น เด็กชายซอร์นได้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1953 กับครอบครัวที่มีดนตรีอยู่ในสายเลือด ได้รับอิทธิพลจากดนตรีหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็น แจ๊ส คลาสสิก ดูว็อป ร็อค รวมไปถึงดนตรีประกอบรายการทีวีในสมัยนั้น โดยเฉพาะเพลงการ์ตูนนี่จะพิเศษหน่อย พอโตขึ้นซอร์นก็เริ่มเรียนดนตรีและก็ได้เริ่มรู้จักดนตรีจำพวกอวองการ์ดและฟรีแจ๊ส โดยอัลบั้มที่ทำให้แกหันมาจับแซกโซโฟนเป็นเครื่องดนตรีหลักก็คือ For Alto (1969) โดยศิลปินชั้นครูของแนวนี้อย่างคุณลุงแอนโธนี แบร็กซ์ตัน (ที่มีลูกชายเป็นชาวร็อคที่เพิ่งจะมาเมืองไทยเมื่อไม่นานนี้นั่นละครับท่านผู้ชม) ก่อนที่จะมีชื่อเสียงขึ้นมานั้น พี่ซอร์นก็มีงานที่รวบรวมอิทธิพลในช่วงแรกๆของชีวิตรวมไว้ใน First Recordings 1973 ซึ่งออกกับ Tzadik สังกัดที่แกได้ก่อตั้งในเวลาต่อมาในปี 1995 และก็มีซีรี่ส์ Game Pieces ที่ออกมาในช่วงแรกๆที่แกได้เข้ามาในแวดวง (1976-83) ซึ่งวิธีการทำเพลงของแกในตอนนั้นก็คือการใช้การ์ดสัญลักษณ์ต่างๆรวมถึงสัญญาณมือในการอำนวยเพลงให้กับนักดนตรีจำนวนหนึ่ง โดยตรงนี้ท่านสามารถลองไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในดีวีดี A Bookshelf on Top of the Sky (2004, Tzadik)
Label: Alchemy Records Genre: Harsh Noise Country: Japan Released: 05 Sep 1999 Format: CD นานแล้วที่ไม่ได้เขียนรีวิวอัลบัม ณ ที่แห่งนี้ คงเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ค่อยได้ฟังอะไรนอยส์ๆบ่อยนัก จะเน้นงานแสดงเป็นหลักมากกว่า แต่เมื่อไม่กี่วันนี้ผมก็ได้พบกับผลงานระดับแรร์ไอเทมที่น่าสนใจไม่น้อยของอาเจ๊มายุโกะ ฮิโนะ (Mayuko Hino) อดีตสมาชิกของวงแจแปนอยส์ระดับตำนานอย่าง C.C.C.C. (ร่วมกับน้าฮิโรชิ ฮาเซงาวะ นั่นเอง) เจ๊แกได้ทำงานคู่กับ รันโกะ โอนิชิ (Ranko Onishi) ในนาม Mne-Mic (เขียนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันฮะ จะได้ไม่สับสนกับวงอินดัสเตรียลเมทัลจากเดนมาร์ก) และออกมาเพียงอัลบัมเดียวคือ Gulfstream
Date: 8 April 2017 Venue: Thonglor Art Space Ticket: 300 THB วันเสาร์ที่ 8 เม.ย. 2560 ที่ผ่านมาก็ถือเป็นวันที่น่าตื่นเต้นอีกวัน จริงๆก็น่าตื่นเต้นมาตั้งแต่วันก่อนหน้าแล้วละครับ เพราะแค่ศิลปินแต่ละรายซาวด์เช็คก็น่าสนใจแล้ว ผม (F-) ซึ่งอยู่งานมาตั้งแต่ต้นจนจบก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ด้วยเช่นกัน (อ้อ และงานนี้ก็บังเอิญตรงกับงานเมทัลพันธุ์แท้ที่ Brownstone ซึ่งผมเพิ่งทราบจากมิตรสหายมาว่าเลิกกันดึกมากจนคนดูแทบหลับ ฮา...) เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ผมขอเล่าเรื่องสนุกๆที่เกิดขึ้นในงานนี้เลยก็ละกัน เนื่องจากวันก่อนหน้ามีศิลปินมาซาวด์เช็คเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งจึงมาเซ็คของกันในช่วงบ่ายด้วยความที่งานเริ่มกันตอนเย็นๆนั่นเอง ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้ทองหล่ออาร์ตสเปซมากและลางานมาแล้ว ผมจึงเดินทางไปที่นั่นทันทีตั้งแต่ช่วงบ่าย ตัวสเปซนั้นก็เป็นสถานที่เรียบง่ายดูน่าค้นหา แต่สำหรับคนที่เดินทางไปครั้งแรกก็อาจจะดูงงๆเสียหน่อย เพราะจริงอยู่ที่สถานที่นั้นอยู่ปากซอยทองหล่อ แต่เราต้องเดินเข้าไปในเวิ้ลเล็กๆที่มีร้านดอกไม้อยู่ริมถนนฝั่งตรงข้ามบันไดเลื่อนขึ้น BTS โดยทางเข้าหลักของสเปซนั้นจะอยู่ด้านหลังของร้านดอกไม้โดยมีบันไดให้เดินขึ้นไป เข้าไปในสเปซก็จะพบส่วนที่เป็นอาร์ตแกลเลอรีซึ่งงานนี้ก็ตรงกับงานนิทรรศการภาพวาดของ Darnui Parnui พอดิบพอดี เรียกว่ามางานเดียวได้ดูทั้งภาพวาดและสดับรับฟังมวลเสียงควบคู่กันไป ส่วนที่เหล่าศิลปินจะมาปล่อยของกันก็จะอยู่ที่ชั้นล่างสุด โดยจะเป็นพื้นที่ว่างและไม่มีเวที แต่สิ่งที่มาแทนที่คืออุปกรณ์ของเหล่าศิลปินที่มีมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะของ Plern Parn Perth และสาวๆจาก X0809 ซึ่งพอผมได้เห็นของเหล่านั้นแล้วก็หวนกลับมาดูชุดของตัวเองก็รู้สึกด้อยไปถนัดตา (ขำๆนะฮะ) อุปกรณ์ที่ผมชอบที่สุดในงานนี้ก็น่าจะเป็นเซ็ตของคุณอานนท์ นงเยาว์ ที่ดูแหวกแนวสุดๆและมวลเสียงที่ออกมา (ในช่วงซาวด์เช็ค) นั้นก็ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่โดดเด่นในงานนี้ก็เห็นจะเป็นโมดูลาร์ซินธ์ชุดใหญ่ของคุณ Kijjaz ที่ได้กล่าวไว้จะมาเล่นเพลงป็อปให้ฟังกัน เมื่อใกล้เวลางานเริ่ม เหล่าผู้ชมก็ทยอยกันเข้างานทีละน้อยโดยเหล่ามนุษย์เซ็ตเล็กอย่างผมและ Morning Depth ได้เดินลงไปด้านล่างเพื่อเตรียมจัดอุปกรณ์ของตัวเอง โดยผมต้องรอทาง 3DH แสดงเสร็จก่อนถึงจะใช้โต๊ะวางของได้ พอผู้ชมได้ทยอยลงไปที่เวทีการแสดงประมาณหนึ่ง การแสดงก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างตรงเวลา (ประมาณห้าโมงเย็นเศษๆ) โดยไฮไลต์ของงานนี้คือการมี Live Texting ตั้งแต่ต้นจนจบงานโดยช่างเทคนิคของงานนี้ซึ่งด้นสดออกมาได้ลงตัวกับศิลปินนั้นจริงๆ (...แต่ผมเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่าตอนที่ตัวเองแสดงนั้นเขาพิมพ์อะไรลงไปบ้าง ฮา...) หลังจากนี้ก็จะเป็นการรีวิวการสำแดงสดของศิลปินแต่ละคนโดยจะมีศิลปินส่วนหนึ่งมาร่วมถ่ายทอดบรรยากาศในงานนี้ด้วยตัวเองด้วย
|
เกี่ยวกับผู้เขียน :
กลุ่มคนบ้าผู้หลงไหลในสรรพสำเนียง วรรณกรรม ศิลปะ จิตศาสตร์ และความไม่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นบนโลก Categories
All
CD, Vinyl, Tape, LP, Gamaphone, Phono, Cassette, Harsh Noise Tape, Harsh Noise CD, Harsh Noise Vinyl, BKK CD, Bangkok CD, Bangkok Experimental CD, Thai Experimental CD, Thailand Experimental CD, Thai Vinyl, Thai LP, Thai Phonography, Thai gamaphone, Thai Weird, Shirt, Tee, Noise Shirt, Noise tee, Harsh Noise Tee, Harsh Noise T-shirt, T-Shirt, platter,
Moontone Records, Moontone, MoontoneRecord, MoontoneRecords, Moontone Label, Independent Label, D.I.Y. label, D.I.Y. Records, Noise label, Noise music label, Noise records, Noise Studio, Noise Artดนตรีทดลอง, สยามทดลอง, น็อย, น็อยส์, น็อยซ์, น้อยส์, น๊อยซ์, น้อยซ์, น๊อยส์, นอยส์, นอยซ์, นอย, อวองการ์ด, อาวองการ์ด, อวอง การ์ด, อาวอง การ์ด, น้อยส์ทดลอง, เสียงน้อยส์, เสียงรบกวน, สรรพสำเนียง, อาฆาต วิญญาณ์พิโรธ, มูนโทน, มูนโทน เรคคอร์ด, มูนโทนเรคคอร์ด ซีดี, แผ่นเสียง, เทป, เทปคลาสเส็ท, เทป, รีวิว, ขาย, ขายของ, ถูก, ราคาถูก, ขายถูก, เสื้อยืด, เสื้อแขนสั้น, เสื้อวง Experimental, Experimental Music, Thai Experimental Music, Thai Experimental, Bangkok Experimental, Bangkok Experimental Music, Thailand Experimental Music, Thailand Experimental, Thai Noise, Thai Noise Music, Thailand Electronic, Thailand Harsh Noise, Bangkok Electronic, BKK Noise, BKK Experimental, BKK Harsh Noise, Japanoise, Thai Weird, Thai Creepy, Creepy Bangkok, Creepy Asia, Creepy Music, Weird Thai, Weird Bangkok, Weird Thailand, Review noise, Noise Market, Noise discussion, Noise circuit, Harsh Noise Style, Synthesizer, Crazy Synthesizer, Art, Contemporary, Contemporary Art, Surreal, Dada, Surreal Music, Surreal Art, Surreal Contene, Surreal pic, photo, photography, surreal photography, surreal music, dada noise, white noise, unusual, disguised, uncommon, strange, unusual, odd, deformed, eccentric, erratic, exceptional, grotesque, exceeding, exceptional, exotic, extraordinary, paradoxical, deformed, eccentric, erratic, exceptional, grotesque, abnormal, offbeat, unusual, irregular, uncommon, atypical, casual, shit, bastard, fuck, punk, crust, anti, crust punk, regime the state, Expermental Rock, Noise Rock, Rock Music, Band, Gamnad737, GAMNAD737, Silence((O)))), Silence ((O))), Acidwall, Acidmoon, HNW, Noise wall, Harsh Noise Wall, Static Noise, Spam Noise, Power Electronics, Industrial, Neofolk, Noisewall |