โปรเจกต์งานดนตรีทดลองครั้งนี้จัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ตรงข้าม MBK (มาบุญครองเซ็นเตอร์) ที่เชื่อมต่อกับ BTS สนามกีฬาแห่งชาติ โดย SO::ON Dry Flower และฝ่ายนิทรรศการของ BACC ... ส่วนตัวแล้วผมเองก็ได้ติดตามผลงานของ โอเรน อัมบาร์ชี ( Oren Ambarchi ) มาได้สักพักแล้ว ก็ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะมาเล่นด้วย มันเหมือนฝันที่เป็นจริงที่จะได้ดูเขาแสดงตรงหน้าแบบตัวเป็นๆ โดยคราวนี้เขาขึ้นแสดงคู่ก็จะมี คริส โคล ( Crys Cole ) สาวสวยมากประสบการณ์จากแคนาดาที่ได้ร่วมงานกันมาก่อนแล้ว (รวมถึงอัลบั้มใหม่ของโอเรนที่ชื่อว่า Quixotism ด้วย) ส่วนศิลปินต่างชาติที่มาร่วมแสดงในงานนี้อีกสองท่านก็ประกอบไปด้วย โก๊ะ ลี ควาง (Goh Lee Kwang) นักศิลปะเสียงระดับแนวหน้าของมาเลเซีย และ โรเบิร์ต ปีโอโตรวิกซ์ (Robert Piotrowicz) หนุ่มเดรดล็อคมาดนิ่งจากโปแลนด์ ส่วนศิลปินไทยที่มาร่วมงานด้วยในคราวนี้ก็คือ คุณอานนท์ นงเยาว์ (Arnont Nongyao) ที่จัดการติดตั้งเสียง (Sound Installation) ไว้ที่ทางเชื่อมจากหอศิลป์ฯไปที่ BTS ด้วย ต้องขอออกตัวว่าในภาคภาษาอังกฤษที่ผมเขียนไปก่อนหน้านั้นค่อนข้างรวบรัด จึงบรรยายรายละเอียดได้ไม่ครบถ้วน โดยในภาคภาษาไทยนี้ผมจะเสริมรายละเอียดเข้าไปอีกเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพมากขึ้น 1st Day - Duration : Improvisation (7 Nov. 2014) วันแรกนี้ก็จะเป็นการแจมสดกันที่ห้องเอนกประสงค์ ชั้น 1 ครั้งนี้เป็นการแจมโดยคำนึงถึงเรื่องของเวลา (Duration) เป็นหลัก ซึ่งให้ผู้แสดงทั้งหมดจัดการกับเรื่องของเวลาด้วยวิธี “สุ่ม” เวลาที่ศิลปินแต่ละกลุ่มจะได้รับ โดยที่ศิลปินไม่สามารถคาดเดาหรือกำหนดเองได้ และให้ทางศิลปินทั้งหมดจัดการวางแผนเวลาทั้งหมดที่ได้รับว่าจะนำเสนอสิ่งใดบ้าง ซึ่งให้อิสระแก่ศิลปินเลือกที่จะแสดงหรือนั่งเฉยๆก็ได้ หรืออาจจะเลือกแสดงเป็นช่วงๆก็ได้ โดยเรื่องของ Duration จัดเป็น 1 ในหัวข้อสำคัญของการจัดกิจกรรมเสียงทดลองในครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการแบ่งกลุ่มและจับฉลากเพื่อกำหนดระยะเวลาที่จะใช้ในการแสดงซึ่งแบ่งออกเป็น 5, 10 หรือ 15 นาทีตามลำดับ หากจับฉลากได้ FREE หมายความว่าจะบรรเลงกันกี่นาทีก็ได้ (อยู่ในขอบเขตเวลาที่ไม่เกิน 20 นาที) ศิลปินรับเชิญจากต่างประเทศที่ร่วมแสดงในวันนี้ได้แก่ คริส โคล,โรเบิร์ต ปีโอโตรวิกซ์ และ โก๊ะ ลี ควาง โดยมีนักดนตรีไทยรับเชิญมาร่วมแสดงด้วยอีกสามท่าน ได้แก่ The Photo Sticker Machine, คุณโจ จากวงฟองน้ำ และคุณสุทธิภัทร สุทธิวาณิช นักร้องนำวง Zweedz n’ Roll ส่วนโอเรนไม่ได้ร่วมแสดงด้วย สำหรับการแบ่งกลุ่มก็แบ่งเป็นกลุ่มละสามท่าน ซึ่งผมสังเกตได้ว่า ในการเปลี่ยนกลุ่มแต่ละครั้ง จะมีนักดนตรีหนึ่งท่านที่จะอยู่เล่นในกลุ่มถัดไป โดยแบ่งเป็นกลุ่มต่อไปนี้ 1. Goh Lee Kwang + Crys Cole + Joe Fongnaam - 15 นาที 2. Joe Fongnaam + Sutipat Sutiwanit + Robert Piotrowicz - 10 นาที 3. Robert Piotrowicz + Goh Lee Kwang + The Photo Sticker Machine - Free (ร่วม 15 นาที) 4. The Photo Sticker Machine + Crys Cole + Sutipat Sutiwanit - 5 นาที 5. ทุกคน (All Artist) - 15 นาที สำหรับการแจมครั้งดูเหมือนนักดนตรีหลักอย่าง โก๊ะ, คริส และ โรเบิร์ต อาจจะยังไม่ปล่อยของกันมากนัก คงเพราะเป็นการเล่นด้วยกันเป็นครั้งแรก (คริสมากับอุปกรณ์ชุดเล็ก) ส่วนคุณโจและคุณภัทรที่ไม่คุ้นเคยกับดนตรีทดลองมาก่อนก็ด้นสดได้ดีเช่นกัน ส่วนตัวแล้วคิดว่ากลุ่มที่โดดเด่นที่สุดน่าจะเป็นกลุ่มที่ 3 ที่ The Photo Sticker Machine เปิดตัวมาได้หนักหน่วงและค่อยๆผ่อนเบาสลับกันไปทำให้มีช่องให้โก๊ะซัดมวลซินธ์ไซเซอร์ผนวกกับโรเบิร์ตที่คุมในภาคแอมเบี้ยนได้อรรถรสมาก ทั้งสองค่อยๆเร่งกดดันบรรยากาศในงานขึ้นมาทีละนิดจนกระทั่งโชว์แทคทีมเดินทางมาจนถึงนาทีที่มวลเสียงของทั้งสามถึงจุดยอดทางอารมณ์แผดสนั่นลั่นออกมาร่วมกันด้วยความเกรี้ยวกราดสักพักหนึ่งจนจบ หลังการแสดงเสร็จสิ้น ทางผู้จัดก็ให้นักดนตรีแต่ละท่านได้พูดถึงอุปกรณ์ที่ใช้และบรรยายความรู้สึกหลังจากที่ได้แสดงร่วมกัน แล้วก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมด้วย แต่ดูเหมือนทุกท่านจะไม่มีคำถาม ... 2nd Day - Solo performances & Workshop (8 Nov. 2014) สำหรับวันที่สองนี้ก็จะเป็นเวิร์คช็อปของศิลปินหลักทุกท่านในงานนี้โดยจัดที่ชั้น 5 ของหอศิลป์ฯ และหลังจากเวิร์คช็อปก็จะเป็นการแสดงสดของศิลปินหลักทั้งหมด รวมถึงเฮดไลเนอร์อย่างโอเรนและคริสที่จะแสดงคู่กันปิดท้ายงานด้วย โดยจัดที่ห้องเอนกประสงค์เช่นเดียวกับวันแรก วันนี้แลจะเป็นวันที่วุ่นวายเป็นพิเศษเพราะมีหลายๆเทศกาลเกิดขึ้นในวันเดียว เช่น Noise Market #3 ที่มิวเซียมสยาม, โคตรอินดี้ครั้งที่ 10 ที่สนามม้านางเลิ้ง ส่วนในหอศิลป์ฯก็มีหลายงานที่ชนกับงานนี้ด้วย เช่น งานกีต้าร์คลาสสิกที่จัดข้างๆห้องเวิร์คช็อป งานละครเวทีที่จัดบริเวณชั้น 1 ซึ่งเรียกความสนใจจากผู้ที่เดินผ่านไปมาได้พอสมควร (รวมถึงผมด้วย) Robert Piotrowicz (Poland) สำหรับเวิร์คช็อปนั้นเริ่มตอนบ่ายสอง ศิลปินท่านแรกที่มาบรรยายคือโรเบิร์ต โดยเขาได้พูดถึงความสำคัญของเครื่องดนตรี รวมถึงสิ่งที่เขาจะใช้แสดงในช่วงค่ำด้วย แต่กว่าผมจะไปถึงงานก็จวนจะเลิกแล้ว จึงได้ลงไปฟังการติดตั้งเสียงของคริสเพื่อเป็นการฆ่าเวลา การติดตั้งเสียงของคริสนั้นจะเป็นการกวาดพื้นไปรอบๆด้วยไม้กวาดก้านมะพร้าว ทำให้เกิดเสียงซ่าและฟี้ดแบ็คที่ค่อยๆซ้อนขึ้นมาเป็นชั้นๆจนจบ ซึ่งก็ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับ Binaural Beat ที่เป็นคลื่นเสียงที่เอาไว้ใช้ปรับสมดุลของสมองเลยละ Goh Lee Kwang (Malaysia) หลังจากฟังจบก็ขึ้นไปที่เวิร์คช็อปต่อไปของโก๊ะทันที โดยเขาได้บรรยายเรื่องความสำคัญของระยะเวลา รวมถึงประสบการณ์ที่ผ่านๆมาและผลงานของตัวเอง (โดยแนะนำให้ฟังและดาวน์โหลดทาง Bandcamp) ทำให้ทุกคนที่ร่วมพูดคุยได้ทราบว่าเขาทำงานด้านทัศนศิลป์ด้วย สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในตัวเขาคือการทำเพลงที่ยาว 12 ชั่วโมง และก่อนจะจบเวิร์คช็อป ก็มีฝรั่งท่านหนึ่งถามถึงศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจของเขา ซึ่งคำตอบของเขาก็คือ จอห์น เคจ ในส่วนของดนตรี ซึ่งเขาก็ไม่อยากพูดต่อมากนักเพราะเกรงว่าจะเกินเวลาของโอเรนและคริส ส่วนแรงบันดาลใจของเขาในด้านทัศนศิลป์ก็คือ มาร์กแซล ดูชองป์... Oren Ambarchi (Australia) & Crys Cole (Canada) หลังจากการบรรยายของโก๊ะเสร็จสิ้นไป ก็ถึงคิวของโอเรนและคริสที่จะมาพูดถึงเพลงและศิลปินที่เป็นแรงบันดาลใจของทั้งคู่ สำหรับเพลงที่ทั้งคู่ได้เลือกมาก็จะเป็นงานทดลองตั้งแต่ยุค 60s-90s ซึ่งก็ประกอบไปด้วย... John Cage & David Tudor - Variations II Walter Marchetti - Uscita dal coma Annea Lockwood - Tiger Balm Alvin Lucier - Still Lives Akio Suzuki - Seseragi โอเรนและคริสได้บรรยายเรื่องราวเอาไว้อย่างละเอียด ทำให้เพลงเหล่านี้ดูมีความน่าสนใจขึ้นไปอีก จนน่าจะเรียกได้ว่าถ้าใครที่ต้องการจะหาแรงบันดาลใจในการทำงานทดลอง ก็สามารถเข้าเวิร์คช็อปนี้ได้เลย งานนี้ผมชอบในส่วนของปู่เคจซึ่งโอเรนก็พูดถึงแกด้วยอารมณ์ที่ลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ทั้งโอเรนและคริสก็พูดถึงการเปิดหูเปิดตารับสิ่งใหม่ๆด้วย ไม่ใช่ว่าฟังแต่งานแนวๆนี้ทั้งวัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานสำหรับนักดนตรีและนักแต่งเพลง... หลังจากที่เวิร์คช็อปของโอเรนและคริสจบลง ผมก็ไปทานข้าวเย็นต่อที่สยามสแควร์ ด้วยเหตุนี้เอง ผมไม่ได้เข้าฟังการบรรยายของคุณอานนท์เกี่ยวกับงาน D.I.Y. พอทานข้าวเสร็จก็เดินกลับเข้างานโดยครั้งนี้ไปที่ห้องอเนกประสงค์เพื่อเตรียมชมการแสดงสดของเหล่าศิลปินหลัก และผมก็ได้พบว่าทางผู้จัดได้เตรียมอาหารเอาไว้ให้ทานกันด้วย ผมเองก็รู้สึกเสียดายเงินที่หมดไปกับข้าวเย็นก่อนหน้านั้น เพราะเงินจำนวนนั้นผมสามารถเอามาซื้อซีดีหรือแผ่นเสียงที่หน้างานได้ โดยส่วนตัวผมก็อยากได้ผลงานของโอเรนอยู่แล้ว โดยเฉพาะอัลบั้มใหม่ Quixotism ที่มีคริสร่วมเล่นด้วย (F- : ผมนี่โมโหตัวเองรัวๆเลยครับ พับผ่าสิ!) (Arkat : ผมนี่สมน้ำหน้าเลยครับ 555)... บรรยากาศด้านหน้างานผม (Arkat) ก็ยืนคุยกับ โก๊ะ ลี ควาง เกี่ยวกับแวดวง Noise ในมาเลเซีย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนแนะนำงานของตัวเอง (GAMNAD737 aka. กำหนัด737 ) และงานของเพื่อนๆให้เขาเหมือนกัน ซึ่งเขาก็แนะนำ “Jerk Kerouac” เพื่อนที่ทำ Harsh Noise และเพิ่งเล่นร่วมกับ “Granpa Abela” ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ (4 Nov. 2014) ให้เรารู้จัก โก๊ะยื่นแผ่น CD สีดำปริศนาให้ผม พร้อมกับคำพูดสั้นๆได้ใจความว่า “สิ่งนี้น่าจะเหมาะกับนายนะ” ถามไปถามมาได้ใจความว่าซาวด์ในแผ่นนี้ เกิดจากการที่เขาลั่นตู้เบสประกบและให้เสียงฟีดแบ็กสนั่นไปหมด (เดี๋ยวเขียนรายละเอียดเพิ่มเติมไว้ในรีวิวแผ่นนี้ครับ) แถมยังบอกด้วยว่าวันนี้เขาจะเล่นเบาๆนะ ถ้าอยากฟังอะไรที่มัน Loud มากๆ ก็เอาหูไปแนบที่ลำโพงดู... จบบทสนทนาด้วยเสียงหัวเราะลั่นของผมและ โก๊ะ ลี ควาง (ฮา) พร้อมกล่าวคำขอบคุณ และแยกย้ายไปเตรียมตัว... 19.30 โดยประมาณ และแล้วก็ถึงเวลาที่รอคอยเสียทีกับการแสดงสดของเหล่าศิลปิน แม้จะล่าช้ากว่ากำหนดการเล็กน้อยก็ตาม ทุกคนก็ทยอยกันเดินเข้าสู่ห้องอเนกประสงค์เพื่อรอชมฝีมือของพวกเขาและเธอ พื้นที่ในห้องอเนกประสงค์นี้ค่อนข้างกว้าง ทางผู้จัดจึงขอให้ผู้ชมขยับเข้ามาใกล้ๆเพื่อจะได้ชมการแสดงอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ทางด้านศิลปินนั้นก็เตรียมตัวและอุปกรณ์กันมาเป็นอย่างดี โดยโก๊ะนั้นจะใช้เพียงดีเจมิกเซอร์เพียงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนโรเบิร์ตจะมีกระเป๋ามหัศจรรย์ เอ้ย ไม่ใช่ จริงๆแล้วมันคือโมดูลาร์ซินธ์ยุคเก่าที่ต่อสายไว้เต็มไปหมด โดยมีแล็ปท็อปเป็นตัวช่วยในการควบคุม ทางด้านโอเรนนั้นก็มีกีต้าร์Gibson Les Paul สำหรับมือซ้าย พร้อมด้วยเอฟเฟกต์ก้อนต่างๆ สวิตช์ และมิกเซอร์อยู่รอบๆตัว ส่วนคริสก็มากับอุปกรณ์ชุดใหญ่กว่าเดิม ทั้งแปรงและแส้ขนาดต่างๆ คอนแท็คไมค์ คอนเดนเซอร์ไมค์ และ กล่องมหัศจรรย์ที่ขึงสายเอ็นยืดเอาไว้ คีย์บอร์ดตัวเล็กๆเอาไว้เหยียบ รวมถึงมิกเซอร์ที่ดูจะใหญ่กว่าตัวเธอด้วย และบนพื้นหลังโต๊ะอุปกรณ์ของทั้งคู่ก็มีแผ่นฟอยล์ที่ดูน่าสงสัย ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าทั้งคู่จะทำอย่างไรกับเจ้าสิ่งนี้ เมื่อเหล่าผู้ชมพร้อมแล้ว ทางผู้จัดก็กล่าวเกริ่นนำเล็กน้อย และการแสดงก็เริ่มขึ้น... Goh Lee Kwang - ชายร่างเล็กผู้นี้ได้ขึ้นแสดงเป็นคนแรกโดยใช้เวลาเพียงราวๆ 15 นาทีเท่านั้น โดยจะเป็นเพียงโชว์เดียวที่ดับไฟในห้องทั้งหมดเพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสเสียงอย่างเต็มที่ ในการแสดงครั้งนี้ เขามีท่าทางที่นิ่งสงบ ในขณะที่มือก็คอยปรับดีเจมิกเซอร์อยู่ตลอดจนจบ โดยเขาจะเน้นการเล่นกับฟี้ดแบ็คที่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นหลัก ทำให้คาดเดาได้ยากมากว่าจะมาในอารมณ์ไหน... Robert Piotrowicz - ในวันแรกของงานนั้นเขาอาจจะปล่อยของไม่เต็มที่เท่าไหร่ แต่วันนี้เขาพร้อมแล้วที่จะปลดปล่อยพลัง โดยเริ่มแรกนั้นจะเป็นแอมเบียนท์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไปอย่างช้า และพอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเร่งเครื่องไปพร้อมกับมวลเสียงที่เริ่มมีความซับซ้อนและดังขึ้นเรื่อยๆ จนถึงช่วงพีค เขาก็ได้ทีปล่อยสรรพเสียงที่สุดแสนจะพิศดารออกมาอาละวาดและทำลายล้างกันเป็นระลอกใหญ่ พลังทำลายล้างของโรเบิร์ตนั้นได้ถูกปลดปล่อยมาพร้อมกับท่าทางการแสดงที่ปลดปล่อยของเขาด้วย ส่วนตัวผมเองที่นั่งอยู่ข้างลำโพงใหญ่ก็พลอยแสบหูไปด้วยเพราะเสียงเหล่านี้ได้แทงทะลุหูซ้ายของผมเข้าอย่างจังเลยละ แล้วเขาก็ลดระดับลงแบบหักดิบลงมาเลยแล้วก็เร่งเครื่องขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าพายุลูกเก่าไม่ทันจะหายไป พายุลูกใหม่ก็พัดกระหน่ำเข้ามาอีก โดยในครั้งที่สองนี้เขาได้ปลดปล่อยพลังทำลายออกมาอย่างเต็มที่ จนสะเทือนไปทั้งห้องอเนกประสงค์ แล้วค่อยๆผ่อนให้เบาลงจนจบ โดยโชว์นี้เขาใช้เวลาไปราวๆ 40 นาทีแต่พลังทำลายล้างเช่นนี้ทำให้ผมรู้สึกราวกับอยู่งาน Cacophonous เลยทีเดียว... (หลังจากงานนี้จบลง โรเบิร์ตก็เดินทางไปถล่มเชียงใหม่ต่อที่งาน Motiva 18.0 ที่ทางกลุ่ม Delicate ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยมิตรสหายที่อยู่แถวนั้นได้กล่าวว่า ตึกแทบถล่มกันเลยทีเดียวเพราะสถานที่จัดเล็กมาก แถมอยู่ติดกับถนนใหญ่ด้วย ทำให้รถที่สัญจรไปมาหันมาฟังกันเป็นทิวแถว ฮา...) Oren Ambarchi & Crys Cole - หลังพักจากการแสดงโรเบิร์ตไปประมาณ 10 นาที เหล่าผู้ชมก็กลับเข้าห้องใหม่โดยครั้งนี้อยู่ดูกันจนจบงาน และการแสดงของโอเรนและคริสก็เริ่มขึ้น เริ่มจากคริสค่อยๆเหยียบคีย์บอร์ด (ใช่คุณอ่านไม่ผิดหรอก ใช้เท้าเหยียบ) ที่อยู่ใต้โต๊ะของเธอเพื่อให้เกิดเสียงประสาน แล้วโอเรนค่อยๆใช้เทคนิคกีต้าร์ฮาโมนิคที่พ่วงซาวด์ใส่บรรดาเอฟเฟกต์เป็นเสียงหึ่งกังวาลในสไตล์โดรน ซึ่งสิ่งที่เขาเล่นออกมานั้นมีความคล้ายคลึงกับเพลง Inamorata จากอัลบั้ม In the Pendulum’s Embrace (อัลบั้มนี้ออกมาในปี 2007 และเป็นอัลบั้มที่ทำให้ผมได้รู้จักเขาเป็นครั้งแรกอีกด้วย) เพียงแต่ในการแสดงครั้งจะแลดูเป็น Soundscapes มากขึ้นเล็กน้อย เวลาผ่านไปได้สักพัก ในระหว่างที่โอเรนคอยควบคุมสวิตช์ฟุตที่ใช้สร้างเสียงบรรยากาศพื้นหลัง และเกิดเป็น Noise Floor ดังฟุ้งอยู่รอบห้อง กับแผงมิกเซอร์และบรรดาเอฟเฟกต์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยอีควอไลเซอร์ 16 Band ที่ดูเหมือนจะเป็นพระเอกของโอเรนซาวด์ในคืนนี้ ทางฝั่งคริสก็เอาเท้าออกจากคีย์บอร์ดแล้วหันมาใช้แปรงต่างๆสะบัดใส่กล่องมหัศจรรย์ จากนั้นไม่นานโอเรนก็หยิบแผ่นฟอยล์เดินไปรอบๆห้องค่อยๆบรรจงขยำมันทีละนิดก่อให้เกิดเสียงซ่าๆดังฟุ้งและบีบอัดจนเป็นก้อนในที่สุด แล้วเขาก็นำกลับมาให้คริสสร้างเสียงต่อโดยใช้การเสียดสีของแผ่นฟอยล์กับคอนเดนเซอร์ไมค์ที่อยู่ข้างๆตัว (ผมมองว่าเขาต้องการให้เกิดเสียง "จริง" วนรอบหัวเรามากกว่า เลยหันหน้าไปทางเวที แล้วหลับตาเสพเงียบๆ คิดว่าที่จงใจทำ 2 รอบ เพื่อให้เห็นว่าตั้งใจจะทำแบบนี้จริงๆ หรืออาจมีอะไรสักอย่างซ่อนเร้นอยู่ เมื่อวานก็ไม่ได้ถามเพราะมัวแต่โม้กับแกที่แจมกับ ไคจิ และ โอโรค ว่าเจ๋งมากกกก โคตรเทิดทูน) และโอเรนก็ทำแบบนี้อีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มผลัดกันสร้างเสียง ทำให้การแสดงในช่วงหลังมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้วค่อยๆผ่อนไปจนจบ ซึ่งต้องบอกว่าโชว์นี้ทั้งคู่ทำออกมาได้เนี้ยบและสมบูรณ์แบบจริงๆ... งานนี้ก็จบลงไปพร้อมกับความสุขของทั้งศิลปิน ผู้จัด และผู้ชม โดยพร้อมกันนั้นเอง พี่โคอิชิก็ได้พูดถึงคอนเซ็ปต์ของงาน Drift ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 ม.ค. และ 1 ก.พ. 58 ไว้พอสังเขป ซึ่งขอปิดชื่อศิลปินเอาไว้ก่อน แต่ทางผู้จัดได้เกริ่นถึงหัวข้อครั้งต่อไปว่าจะเน้นเรื่องของเครื่องมือ (Tool) เป็นหลัก ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยก่อนกลับผมก็ได้ขอถ่ายรูปคู่กับโอเรนไว้เป็นที่ระลึก กับการได้กระทบไหล่ศิลปินโปรดอีกหนึ่งท่านแบบตัวเป็นๆ สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณ พี่โคอิชิ ชิมิสุ และ คุณเอม พิชญา ศุภวานิช สำหรับนิทรรศการดนตรีทดลองดีๆแบบนี้ แล้วพบกันใหม่งานหน้าครับ :D ประวัติด้านผลงานของ Oren Ambarchi ในแนวทางโดรนและดนตรีทดลอง เป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมการแสดงสดของยอดวงโดรน/ดูม อย่าง Sunn O))) และมีส่วนร่วมในอัลบั้ม Black One (2005), Monoliths & Dimensions (2009) ก่อตั้งวงโดรนดูมเมทัลชื่อ Burial Chamber Trio ในปี 2007 ร่วมกับ Greg Anderson (Sunn O)))) กับ Attila Csihar (นักร้องนำยอดวงแบล็กเมทัล Mayhem ในยุคหลัง ) โดย Oren Ambarchi รับตำแหน่งกีต้าร์ ก่อตั้งวงโดรนดูมเมทัลชื่อ Grave Temple ในปี 2006 ร่วมกับ Stephen O'Malley (Sunn O)))) Matt "Skitz" Sanders และ Attila (Mayhem) โดย Oren Ambarchi รับตำแหน่งกีต้าร์ ออกไลฟ์อัลบั้มในนาม Pentemple ในปี 2008 ร่วมกับสมาชิกทั้ง2 ของ Sunn O))) (O'Malley + Greg Anderson) กับ Sin Nanna (Striborg) และ Attila (Mayhem) ในปี 2008 โดย Oren Ambarchi รับตำแหน่งกีต้าร์ คีตปฏิภาณดนตรีทดลองสามชิ้น Keiji Haino, Jim O'Rourke, Oren Ambarchi ซึ่งแจมกันบ่อยพอสมควร ครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนวันงาน Drift เล่นสดกันที่ประเทศญี่ปุ่น โดย Oren Ambarchi รับตำแหน่งกลอง ผลงานเฉพาะที่ออกในปีนี้ (2014) Quixotism (2014) Oren Ambarchi / Eli Keszler - Alps (2014) Crys Cole / Oren Ambarchi - Sonja Henies Vei 31 (2014) Ambarchi* / O'Malley* / Dunn* - Shade Themes From Kairos (2014) Richard Pinhas, Oren Ambarchi – Tikkun (2014) Stacte Karaoke (2014) Keiji Haino / Jim O'Rourke / Oren Ambarchi - ただ美しく溶けてしまいたいのに まだまだ満ち足りていないから まだ見えてないはずの ほうが愛おしく 思えてしまう Only Wanting To Melt Beautifully Away Is It A Lack Of Contentment That Stirs บทความโดย : F-, อาฆาต วิญญาณ์พิโรธ ( Arkat Vinyapiroath )
ภาพ : Anuwat Nakpawan , นายสุวิด สะกิดตลิ่ง
0 Comments
Leave a Reply. |
เกี่ยวกับผู้เขียน :
กลุ่มคนบ้าผู้หลงไหลในสรรพสำเนียง วรรณกรรม ศิลปะ จิตศาสตร์ และความไม่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นบนโลก Categories
All
CD, Vinyl, Tape, LP, Gamaphone, Phono, Cassette, Harsh Noise Tape, Harsh Noise CD, Harsh Noise Vinyl, BKK CD, Bangkok CD, Bangkok Experimental CD, Thai Experimental CD, Thailand Experimental CD, Thai Vinyl, Thai LP, Thai Phonography, Thai gamaphone, Thai Weird, Shirt, Tee, Noise Shirt, Noise tee, Harsh Noise Tee, Harsh Noise T-shirt, T-Shirt, platter,
Moontone Records, Moontone, MoontoneRecord, MoontoneRecords, Moontone Label, Independent Label, D.I.Y. label, D.I.Y. Records, Noise label, Noise music label, Noise records, Noise Studio, Noise Artดนตรีทดลอง, สยามทดลอง, น็อย, น็อยส์, น็อยซ์, น้อยส์, น๊อยซ์, น้อยซ์, น๊อยส์, นอยส์, นอยซ์, นอย, อวองการ์ด, อาวองการ์ด, อวอง การ์ด, อาวอง การ์ด, น้อยส์ทดลอง, เสียงน้อยส์, เสียงรบกวน, สรรพสำเนียง, อาฆาต วิญญาณ์พิโรธ, มูนโทน, มูนโทน เรคคอร์ด, มูนโทนเรคคอร์ด ซีดี, แผ่นเสียง, เทป, เทปคลาสเส็ท, เทป, รีวิว, ขาย, ขายของ, ถูก, ราคาถูก, ขายถูก, เสื้อยืด, เสื้อแขนสั้น, เสื้อวง Experimental, Experimental Music, Thai Experimental Music, Thai Experimental, Bangkok Experimental, Bangkok Experimental Music, Thailand Experimental Music, Thailand Experimental, Thai Noise, Thai Noise Music, Thailand Electronic, Thailand Harsh Noise, Bangkok Electronic, BKK Noise, BKK Experimental, BKK Harsh Noise, Japanoise, Thai Weird, Thai Creepy, Creepy Bangkok, Creepy Asia, Creepy Music, Weird Thai, Weird Bangkok, Weird Thailand, Review noise, Noise Market, Noise discussion, Noise circuit, Harsh Noise Style, Synthesizer, Crazy Synthesizer, Art, Contemporary, Contemporary Art, Surreal, Dada, Surreal Music, Surreal Art, Surreal Contene, Surreal pic, photo, photography, surreal photography, surreal music, dada noise, white noise, unusual, disguised, uncommon, strange, unusual, odd, deformed, eccentric, erratic, exceptional, grotesque, exceeding, exceptional, exotic, extraordinary, paradoxical, deformed, eccentric, erratic, exceptional, grotesque, abnormal, offbeat, unusual, irregular, uncommon, atypical, casual, shit, bastard, fuck, punk, crust, anti, crust punk, regime the state, Expermental Rock, Noise Rock, Rock Music, Band, Gamnad737, GAMNAD737, Silence((O)))), Silence ((O))), Acidwall, Acidmoon, HNW, Noise wall, Harsh Noise Wall, Static Noise, Spam Noise, Power Electronics, Industrial, Neofolk, Noisewall |